Olha Sukhinina
24 ก.ย. 2564 • 2 อ่านขั้นต่ำ

การจัดการแคมเปญโฆษณาของคุณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ เรามักจะหวังว่าแคมเปญจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยตัวของมันเอง แต่นั่นไม่สามารถเป็นไปได้ การจัดการแคมเปญควรเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของคุณ ความสำเร็จจะมาพร้อมกับกระบวนการตรวจสอบและปรับแต่งที่ดีเท่านั้น มิฉะนั้น คุณอาจสูญเสียผลกำไรหรือการเข้าถึงผู้ชม และทั้งแคมเปญอาจกลายเป็นหายนะได้

แม้ว่าในตอนเริ่มต้นอาจจะดูยาก แต่การสร้างกิจวัตรการจัดการแคมเปญนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ที่ MGID เราได้ตกผลึกว่ากิจวัตรนั้นควรมีลักษณะอย่างไร และสร้างรายการตรวจสอบที่มีทุกสิ่งที่คุณต้องการและให้คำแนะนำกับคุณ ตลอดจนขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อให้แคมเปญโฆษณาประสบความสำเร็จ

พร้อมไหม เลื่อนลงเพื่อเริ่มอ่าน!

สารบัญ

คลิกที่บทใดก็ได้เพื่อเลื่อนไปที่บทนั้นโดยตรง

บท 1

ตรวจสอบ KPI และทำการระบุปัญหา

เพื่อระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เราควรรู้ว่าจะต้องดูที่ไหน โดยปกติแล้ว เป้าหมายหลักของเราคือการขายให้ได้มากที่สุด ดังนั้น ตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดคือ:

  • การเปลี่ยนผู้ใช้เป็นลูกค้า
  • CVR (อัตราการเปลี่ยนผู้ใช้เป็นลูกค้า)
  • CPA (ต้นทุนต่อการได้ลูกค้ามา)

เราควรตรวจสอบตัวชี้วัดเหล่านี้เป็นประจำเพื่อให้รู้สึกถึงจังหวะของแคมเปญ หลังจากที่ทำการวิเคราะห์ตัวชี้วัดแล้ว คุณอาจพบกับปัญหาทั่วไปสามประการ:

  • CVR ต่ำ – อัตราการเปลี่ยนผู้ใช้เป็นลูกค้าต่ำกว่าที่คาดไว้ หากคุณอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ให้ตรวจสอบหน่วยโฆษณา หน้าแลนดิ้นเพจ และวิธีที่หน่วยโฆษณาเชื่อมโยงถึงกัน
  • CVR สูงโดยมีการเปลี่ยนผู้ใช้เป็นลูกค้าต่ำ - แม้ว่าคุณจะมีอัตราการเปลี่ยนที่ดี แต่ก็เป็นไปได้ว่าคุณจะไม่มีการเปลี่ยนผู้ใช้เป็นลูกค้าจำนวนมาก จริง ๆ ปัญหานี้มักเกิดจาก CPC ต่ำหรือ CTR ต่ำ
  • CPA สูง – หมายความว่าคุณต้องการเปลี่ยนผู้ใช้เป็นลูกค้าเพิ่มมากขึ้นจากการคลิกของคุณ บางทีคุณควรเปลี่ยนการกำหนดเป้าหมายหรือลองใช้โฆษณาที่ดูดและให้มุมมองใหม่ ๆ ในด้านประสิทธิภาพของแคมเปญ คุณไม่ควรให้ความสำคัญกับจำนวนคลิกที่สูงมากเกินไป เป้าหมายของเราไม่ใช่การสร้างการเข้าชม แต่เรากำลังมองหาการขาย เราจึงต้องมีส่วนร่วมกับผู้ชมที่เต็มใจและต้องการที่จะซื้อสินค้า

หลังจากที่คุณตรวจสอบ KPI และจุดอ่อนของแคมเปญที่เป็นไปได้ทั้งหมดแล้ว คุณควรดำเนินการขั้นตอนเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในทั้งสี่ด้านที่สำคัญของแคมเปญเนทีฟ

บท 2

เพิ่มประสิทธิภาพแหล่งที่มาของการเข้าชม

แหล่งที่มาของการเข้าชมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ และคุณควรให้ความสนใจกับประสิทธิภาพของแหล่งที่มาของการเข้าชมทุกวัน วิเคราะห์แหล่งที่มาของการเข้าชมแต่ละแห่งและถามตัวเองด้วยคำถามที่สำคัญเหล่านี้: ข้อมูลดังกล่าวทำให้คุณได้รับลูกค้าหรือไม่ ดังนั้น เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพใดที่คุณสามารถใช้ได้เมื่อแหล่งที่มาของการเข้าชมปัจจุบันของคุณไม่สร้างลูกค้า

MGID มีเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพสองแบบ แบบแรกคือการเสนอราคาแบบเลือก โดยพื้นฐานแล้ว การประมูลแบบคัดเลือกจะช่วยใตั้งค่าตัวคูณ CPC สำหรับแหล่งที่มาของการเข้าชมต่าง ๆ เพื่อปรับราคาเสนอในทันที ตัวอย่างเช่น หากเรามีไซต์ที่มีการสร้างลูกค้าจำนวนมาก เราจะสามารถทำให้ CPC สูงขึ้นและทำให้มีการเข้าชมเพิ่มขึ้นได้ นี่เป็นเครื่องมือที่ดีถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการเพิ่มประสิทธิภาพและติดตามผลด้วยตนเอง

เพื่อให้มีการทำซ้ำโดยอัตโนมัติเมื่อจัดการแหล่งที่มาของการเข้าชม เรามีเครื่องมืออื่นคือการเพิ่มประสิทธิภาพตามกฎ เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างกฎพิเศษที่ทำงานโดยอัตโนมัติและเปลี่ยนการเสนอราคา CPC หรือบล็อกแหล่งที่มาของการเข้าชมหากตรงตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้

เครื่องมือนี้มีตัวชี้วัดต่าง ๆ ให้คุณเลือก ตั้งแต่ต้นทุนในการสร้างลูกค้าไปจนถึง ROI ตัวอย่างเช่น คุณสามารถตั้งกฎว่าหากไซต์มีคลิกมากกว่า 2,000 คลิกโดยมีอัตราการเปลี่ยนผู้ชมเป็นลูกค้าต่ำกว่า 10% ไซต์นั้นควรถูกบล็อก ดังนั้น คุณมีอำนาจในการสร้างกฎที่เป็นไปได้ ไม่ว่าจะบล็อกแหล่งที่มาของการเข้าชมหรือเปลี่ยนแปลงการเสนอราคา

แม้ว่าเราจะมีเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เราจำเป็นต้องรู้ว่าจะใช้งานเมื่อใดและอย่างไร หลังจากวิเคราะห์แหล่งที่มาของการเข้าชมแล้ว เราอาจพบสถานการณ์หลายประการดังนี้:

  • ไซต์ไม่ได้สร้างลูกค้าหรือสร้างลูกค้าให้คุณเพียงไม่กี่ครั้ง สิ่งที่เราต้องทำคือบล็อกหรือตั้งราคาเสนอที่ต่ำมากสำหรับพวกเขา
  • ไซต์ที่มีการสร้างลูกค้าที่ดีโดยมี CPA น้อยกว่ามูลค่าเป้าหมายของคุณ ในจุดนี้เราสามารถพยายามเพิ่มราคาเสนอหรือเพียงแค่รักษาทุกอย่างไว้เหมือนเดิมก็ได้
  • ไซต์ที่มีการสร้างลูกค้าที่ดีโดยมี CPA มากกว่ามูลค่าเป้าหมายของคุณ ในสถานการณ์เช่นนี้ แผนการที่ชาญฉลาดคือการลดราคาเสนอลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เรายังคงปล่อยทุกอย่างไว้เหมือนเดิมได้ ในบางกรณี การสูญเสีย ROI บางส่วนดีกว่าการสูญเสียปริมาณ
  • ไซต์ที่ไม่รู้จักซึ่งมีข้อมูลไม่เพียงพอ ในกรณีนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินใจทำการเพิ่มประสิทธิภาพ ควรให้เวลากับแหล่งที่มาเหล่านี้มากขึ้นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม ตามหลักการทั่วไป การเริ่มต้นตัดสินใจในการเพิ่มประสิทธิภาพนั้นเป็นเรื่องปกติหลังจากที่ไซต์มีการสร้างลูกค้าสามรายการขึ้นไป

เราขอแนะนำให้มีการทดสอบวิธีการต่าง ๆ เพื่อค้นหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแคมเปญของคุณ แต่ลองพิจารณาให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ต้องใช้เวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เชื่อถือได้ นอกจากนี้ เราต้องการแบ่งปันเกณฑ์ทั่วไปที่ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญใหดังต่อไปนี้:

  • ปิดการใช้งานแหล่งที่มาของการเข้าชมหากคุณใช้จ่ายมากกว่า X และได้รับการสร้างลูกค้าเป็น 0 (มูลค่าของเกณฑ์เฉลี่ยคือ 2xCPA)
  • ปิดการใช้งานแหล่งที่มาของการเข้าชมหากมีมากกว่า X คลิกและการสร้างลูกค้าเป็น 0 (มูลค่าของเกณฑ์เฉลี่ยคือ 300 คลิก)
  • การตั้งค่าต้นทุนการการสร้างลูกค้าเป้าหมายด้วยเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพตามกฎ เครื่องมือจะตั้งค่ากฎโดยนัยทั้งหมดโดยอัตโนมัติเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งมีความเหมาะสมอย่างยิ่งเมื่อแคมเปญโฆษณาทำงานได้ดีแต่ใช้แหล่งที่มาของการเข้าชมที่มากเกินไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะทำงานกับแหล่งที่มาของการเข้าชมด้วยตนเอง

หมายเหตุ ทั้งการเสนอราคาแบบเลือกและการเพิ่มประสิทธิภาพตามกฎต้องการการติดตามข้อมูลการสร้างลูกค้าในแคมเปญของคุณ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสร้างลูกค้าและดูสถิติในรายงานแคมเปญ คุณต้องตั้งค่า Postback หรือติดตั้ง MGID Pixel บนไซต์ที่คุณเป็นเจ้าของ อ่านบทความนี้เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการ

ตอนนี้ เรามาดูกันต่อและมาค้นพบอีกแง่มุมที่สำคัญมากของแคมเปญ

บท 3

การใช้งานครีเอทีฟโฆษณาและช่องทางการสร้างลูกค้า

โฆษณาเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญอย่างต่อเนื่อง โดยปกติแล้ว คุณจะเริ่มแคมเปญด้วยหน่วยโฆษณาประมาณ 4-6 หน่วย แต่การปล่อยให้หน่วยโฆษณาเหล่านี้ไว้เฉย ๆ ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ ครีเอทีฟโฆษณามักจะหมดความน่าสนใจหลังจากที่ได้หมุนเวียนไปสักพักหนึ่ง: ผู้ชมมักจะหมดความสนใจหรือไม่สนใจสิ่งที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อนมากนัก

ในบางครั้งบางคราว คุณควรทำการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโฆษณา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง CTR และต้นทุนการสร้างลูกค้า โฆษณาบางรายการอาจเคยเป็นตัวทำรายได้ส่วนใหญ่ของแคมเปญมาก่อน แต่ตอนนี้อาจมีประสิทธิภาพต่ำลงแล้ว ในกรณีนี้ควรทำการเปลี่ยนโดยเร็วที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย! แต่อย่าลืมให้โฆษณาได้รับคลิกประมาณ 500-1,500 คลิกก่อนที่จะตัดทำการสินใจใด ๆ

แม้ว่าแคมเปญจะดำเนินไปได้ด้วยดี คุณก็ยังควรใช้เวลาในการวิเคราะห์ครีเอทีฟโฆษณาและมองหาแนวทางใหม่ ๆ เป็นประจำทุกสัปดาห์

นอกจากโฆษณาแล้ว ให้ใส่ใจกับหน้าแลนดิ้งเพจ หน้าก่อนการขาย และส่วนอื่น ๆ ของช่องทางการสร้างลูกค้า โฆษณาเหล่านี้ควรโน้มน้าวใจให้ลูกค้าก้าวไปสู่ขั้นตอนถัดไป: คำรับรอง ใบรับรอง และความได้เปรียบทางการแข่งขันทั้งหมดควรถูกแสดงต่อหน้าผู้เข้าชม ลองใช้แผนที่เค้าโครงเพื่อดูพื้นที่ที่น่าสนใจที่สุดในหน้า นอกจากนี้ การสละเวลาเพื่อลองใช้วิธีการต่าง ๆ ก็เป็นประโยชน์เช่นกัน เพื่อที่จะวิเคราะห์ว่ามีอุปสรรคที่ทำให้ผู้เข้าชมไม่ดำเนินการซื้อหรือไม่

บท 4

การกำหนดค่าแคมเปญ

ขั้นตอนนี้จะคล้ายกับการจัดการแหล่งที่มาของการเข้าชมมาก ข้อมูลแคมเปญโฆษณาจะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ผลลัพธ์จากมุมมองต่าง ๆ ได้ ทั้งภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ระบบปฏิบัติการ การเข้าชมบนมือถือ/เดสก์ท็อป ประเภทของการเชื่อมต่อ คุณควรตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานทั้งหมดจากมุมมองในการขาย หากมีระบบปฏิบัติการที่ทำงานได้ไม่ดี ให้ปิดหรือตั้งราคาเสนอให้ต่ำลงสำหรับการเข้าชมนี้ หากโฆษณาของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในบางประเทศหรือเมือง ให้ลองพยายามดึงดูดการเข้าชมจากที่นั่นให้มากขึ้น

สิ่งเหล่านี้เป็นการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการตรวจสอบและปรับประสิทธิภาพสำหรับแต่ละไซต์ แต่อย่างไรก็ตาม การปรับเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ทำให้คุณมีโอกาสในการได้รับรายได้เพิ่มเติม เราขอแนะนำให้คุณตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพการกำหนดค่าแคมเปญทุก ๆ สองสัปดาห์โดยเฉลี่ย

บท 5

การกำหนดเป้าหมายใหม่

ขั้นตอนสำคัญอีกประการหนึ่งในการจัดการแคมเปญโฆษณาคือการกำหนดเป้าหมายใหม่ เช่น การเข้าถึงผู้ชมที่ตอบสนองต่อโฆษณาของคุณแล้ว ปฏิกิริยาดังกล่าวรวมถึงการไปที่หน้าแลนดิ้งเพจก่อนทำการเผยแพร่ ทำให้เกิดการสร้างลูกค้าในแคมเปญก่อนหน้า หรือดำเนินการบางอย่าง เช่น การเพิ่มสินค้าลงในรถเข็นช็อปปิ้ง พวกเขาได้แสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์ของคุณแล้ว ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่พวกเขาจะเปลี่ยนจากผู้ชมมาเป็นลูกค้า

คุณสามารถใช้การกำหนดเป้าหมายใหม่ในส่วนผู้ชมของ MGID ในการตั้งค่าแคมเปญได้ และมีสองวิธีในการเข้าถึงผู้ที่ได้กล่าวถึงข้างต้น:

  • ตัวเลือกแรกคือการตั้งค่า Postback ในการตั้งค่าแคมเปญโฆษณาและเก็บรวบรวมข้อมูลการเข้าชมของผู้ที่เข้าชมหน้าแลนดิ้งเพจ
  • อันที่สองกำลังใช้ข้อมูลบนแพลตฟอร์ม MGID เกี่ยวกับการแสดงโฆษณาของคุณและผู้ใช้คลิกที่โฆษณา

นอกจากนี้ คุณยังสามารถปรับแต่งครีเอทีฟโฆษณาเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้ใช้ที่เราได้กำหนดเป้าหมายใหม่ และกระตุ้นให้พวกเขากลับมาที่เว็บไซต์ของคุณและทำการซื้อให้เสร็จสิ้น ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเพิ่มส่วนลดพิเศษให้กับสินค้าที่ได้รับความสนใจหรืออ้างอิงถึงสิ่งที่พวกเขาได้รู้เกี่ยวกับสินค้านั้นแล้ว

บท 6

ความคิดเห็นสุดท้าย

การเปิดตัวแคมเปญโฆษณาและคาดหวังให้เกิดผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมขึ้นทันทีนั้นอาจไม่สามารถทำได้ทั้งหมด คุณควรจัดการแคมเปญของคุณทุกวันเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ของคุณอย่างเหมาะสม หาก KPI ทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแล้ว การตรวจสอบแหล่งที่มาของการเข้าชมจะใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีในหนึ่งวัน หากคุณกำลังประสบกับผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจ นั่นหมายความว่าถึงเวลาแล้วที่จะทำการเพิ่มประสิทธิภาพ เริ่มจากครีเอทีฟโฆษณาสู่ผู้ชม สู่หน้าแลนดิ้งเพจ และส่วนอื่นๆ